จะว่าไปแล้ว ชีวิตคนเรานี่มันเรียนแบบตามหลักสูตรกันเป็นสิบปีเลยนะ
ยิ่งคนเรียนเอกเนี่ย ปาไปแล้วเกือบครึ่งนึงของชีวิตเลยนะเนี่ย
ถ้านับว่าเกษียณที่ 60 ปี ลองมานับดูดีกว่าว่าเรียนไปกี่ปี
อนุบาล 1-2 เดี๋ยวนี้ได้ยินว่ามีอนุบาล 3 กันแล้วด้วย ดีนะเป็นคนรุ่นเก่า
ประถม 1-6
มัธยม 1-5 ลัดมาได้ปีนึง ปกติ 6 ลดเหลือ 5
ป.ตรี 1-4
ป.โท 1-3 หลักสูตรเค้าให้เรียน 2 ปี เรียนแถมมาอีกเทอมกว่า ปัดเป็น 3
ป.เอก 1-4 แถมอีกละ หลักสูตรเค้าว่า 3 ปี ก็แถมมาอีกปีกว่า ปัดลงไปแถมกะโทละกัน
รวมเป็น 2+6+5+4+3+4 = 24 ปี แม่เจ้า เรียนอะไรนานขนาดนี้ฟะ
เหลือเวลาที่ทำงานประมาณ 36 ปี ไม่ใช่ดิ เพราะยังไม่นับตอนเป็นเด็กยังไม่เข้าโรงเรียน
ก็สัก 4 ขวบได้ เพราะงั้นไอ้ที่เรียนๆ มาเนี่ย เอาไปใช้ทำงานซะ 32 ปี
แล้วสุดท้าย ไอ้ที่เรียนมาบางทีก็ไม่ใช่ที่อยากจะเรียน หรืออยากจะทำที่สุดซะงั้น
มานั่งนึกๆ ดูว่า สมัยเด็กๆ น่าจะประมาณประถม ผู้ใหญ่ชอบถามว่าโตขึ้นอยากเป็นอะไร
จำไม่ได้ว่าเราตอบว่าอะไรไปมั่งหว่า น่าจะมีตอบว่าเป็นหมอไปบ้างละว้า ตามความฮิตสมัยก่อน
คำตอบนี้ น่าจะมีแรงจูงใจมาจากความคิดที่ว่ามันคงจะดีถ้าเราจะช่วยรักษาพ่อแม่
และคนรอบข้างที่เรารักได้ แต่ถ้าจะเอาจริงๆ แล้วคงไม่ชอบเท่าไหร่ เพราะไม่ชอบโรงบาลซะเลย
โตมาหน่อยก็พอรับรู้ว่า คนเป็นหมอต้องพวกเรียนเก่งจริงๆ หัวปกติธรรมดาแบบเราคงไม่ไหว
อีกคำตอบนึงน่าจะเป็นนักกีฬาทีมชาติ เพราะเราอยู่ในแวดวงกีฬา เห็นนักกีฬาได้ไปแข่ง
ที่โน่นที่นี่ ได้เที่ยวด้วย ได้แข่งกีฬาสนุกๆ ด้วย พบคนใหม่ๆ น่าจะสนุกดี อ้อ สมัยนั้นเริ่มมีแวว
อิอิ เพราะเป็นนักวิ่งกีฬาสีประจำ วิ่งเพราะเค้าไม่มีคนเลยมาเรียกไปวิ่งให้หน่อย ทั้งที่ๆ ไม่เคยซ้อม
แต่ก็ได้ที่สองสามประจำ แต่ที่หนึ่งไม่เคยได้หรอกนะ ว่ายน้ำก็ไปว่ายแข่งกับเค้า ตามเคย
ที่หนึ่งไม่รู้จัก ที่สองที่สามตามเคย เพราะไปโดนอยู่รุ่นใหญ่กว่าประจำ เค้ามีแข่งรุ่นอายุไม่เกิน
9, 12, 15 ประมาณนี้ ไอ้ตอนแข่งก็ให้เกินรุ่นไปไม่กี่เดือนทุกที ตอนเจอรุ่นใหญ่ 15 ปี ตูเพิ่ง
เลยวันเกิดมานิดเดียวเอง พี่ๆ ท่านก็ตัวใหญ่ๆ กันทั้งน้าน อ้อ มีช่วงประถมต้น จำได้ว่าอาน้อง
อ.ที่วิลัย ก็มาเกณฑ์เด็กๆ ไปหัดเล่มยิมนาสติกกันใหญ่ ตอนนั้นม้วนหน้า ม้วนหลัง หกคะเมน
ตีลังกาได้หมด กำลังจะไปได้ดี อาน้องก็ย้ายไปอยู่พละที่ลำปาง เลยหมดแววนักยิมทีมชาติไป
พอมามัธยม เริ่มเห็นความจริงขึ้นมาหน่อย แต่ก็ยังวนเวียนอยู่ในแวดวงพ่อแม่นั่นแหละ
เริ่มอยากเรียนพลศึกษา ดูน่าจะเรียนสบายดี ได้เล่นกีฬาเกือบทุกอย่างที่อยากเล่น มองไป
ก็เหมือนต้องเรียน เล่นอย่างเดียว สบายๆ จากผลการเรียนเรา เรียนพละมีหวังได้ที่หนึ่งแหง
ก๊ากๆ สงสัยเก็บกดอยากเป็นที่หนึ่งจัด เลยออกมาแนวนี้
ม.3 ได้ไปเที่ยวที่อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัยกะศรีสัช อ้อ อยุธยาด้วย โห ประทับใจมาก
จริงๆ ตอนประถมก็เคยไปเที่ยวมาแล้ว แต่ยังไม่ประทับใจมาก สงสัยยังเด็กไป
แต่ครั้งนี้มี จนท โบราณคดีมาให้ความรู้ด้วย ชอบมาก เริ่มอยากสวมวิญญาณนักโบราณคดีเลย
พ่วงด้วย อยากเป็นไกด์อีกอย่าง เพราะที่บ้านพอปิดเทอมก็ชอบพาไปเที่ยว เลยใจแตก
เป็นเด็กชอบเที่ยว เป็นไกด์ได้เที่ยวฟรีด้วย ได้ตังค์ด้วย แหม อาชีพไรเนี่ยดีเจงๆ
สมัยนั้นหนังสือประวัติศาสตร์เต็มบ้าน เพราะพ่อชอบอ่าน ไทยรบพม่า หนังสือสารคดีประวัติ
กษัตริย์ บุคคลสำคัญทั้งหลาย อ่านหมด
ช่วงนั้นเป็นยุคที่อ่านมันดะ นิตยสารก็อ่านฟรี เพราะมีแม่เป็นบรรณารักษ์ทำงานห้องสมุด เย็นก็ไปรับหนังสือจากร้านส่งหนังสือ เราก็เอามาอ่านซะก่อน รุ่งเช้าแม่ก็เอาไปเข้าห้องสมุด เล่มไหนยังไม่อ่าน
เย็นก็ให้แม่หยิบกลับมา เช้าก็เอาไปคืนได้ เลยได้อ่านหลากหลาย นิยายก็อ่านติดงอมแงม
เพราะแม่ชอบอ่าน เลยอ่านตาม อ่านจนหมดบ้าน จากหนังสือบางเล่มที่ไม่คิดแตะ พอมันไม่มีไรอ่าน
ก็เลยหยิบมาอ่าน ทำให้ได้ความรู้หลายด้าน
จุดที่ต้องตัดสินใจครั้งแรกสำหรับการเลือกทางเดิน ก็คือ จบ ม.3 เพื่อนๆ ส่วนใหญ่ในห้อง
ก็คิดจะต่อม.ปลายสายวิทย์กันเกินครึ่ง ตามประสาเด็กเรียนเก่ง ส่วนเราเริ่มอยากต่างไป
อยากเรียนสายศิลป์ ภาษา แต่ด้วยความที่อยู่บ้านนอก มันไม่มีอ่ะ สอนภาษาที่สามเนี่ย
แล้วมันจะเรียกว่าสายภาษาได้ไงฟะ อีกอย่างสายภาษาเนี่ยก็มีแต่เด็กที่เรียนอ่อน
ความประพฤติไม่ค่อยดี ไม่เป็นที่นิยมของเด็กเก่งว่างั้น เลยคิดหนัก ไม่งั้นต้องไปหาเรียนไกลบ้าน
ที่เล็งไว้ก็น่าจะสาธิต มข. ที่มีศิลป์ ฝรั่งเศส ส่วนอีกด้านก็มีเพื่อนในกลุ่มนึงชอบศิลปะ ชอบวาดรูป
เหมือนๆ กัน แต่มันวาดรูปเก่งกว่าเราเยอะ กวาดรางวัลประกวดบ่อยๆ มันมุ่งมั่นมากว่าจะไปเรียน
ช่างศิลป์ แล้วก็มีส่วนนึงที่คิดจะไปต่อสายอาชีพกัน เช่น อาชีวะ เทคนิค ตอนแรกใจเอนไปทาง
ช่างศิลป์ละ แต่ดูจากฝีมือการวาดรูปตัวเองแล้ว วาดภาพเหมือนพอไหว แต่หัวสร้างสรรไม่ค่อยมี
ไม่น่าจะรอด สุดท้ายเลยไม่ไปสอบกะมัน ท้ายสุดจริงๆ ไปไหนไม่รอด เลยชักชวนเพื่อนเรียนต่อสายวิทย์ เน้นศิลปะแทน โน้มน้าวเพื่อนไปสอบด้วยกันได้เกือบเกินครึ่ง เพราะตอนแรกมันว่าจะไปวิทย์ สาธารณสุข
แต่เรารักเพื่อน แต่อยากเรียนศิลปะ ว่าแล้วก็ว่านล้อมพวกมันจนหลงกลมาเรียนด้วยกันจนได้
ส่วนมากตอนนั้นพวกที่เรียนเก่งมากๆ ก็เล็งว่าอยากเป็นสายหมอ วิศวะกันแล้ว เราก็โน้มน้าวไป
ว่าเรียนหมอ ต้องมีทักษะวาดรูป เรียนอนาโตมี เรียนหมอฟันก็ต้องวาดรูปฟันได้ เหอๆ
ส่วนพวกอยากเป็นวิศวะ ก็บอกว่าต้องมีเขียนแบบ เรียนถาปัตก็ต้องทักษะวาดรูปดี อิอิ สำเร็จๆ
ส่วนสาธิตไปสอบเหมือนกัน สอบได้แล้ว แต่เรียนไกลบ้าน ค่าใช้จ่ายคงเยอะ ไหนจะค่าเรียนแพงกว่าเห็นๆ ค่าที่พัก ค่ากินอยู่ แม่คงลำบากแน่ เลยตัดใจ
เขียนโม้แล้วชักยาว ชีวิตหลัง ม.ปลายไว้ต่อตอนหน้าดีกว่า