Monday, November 19, 2007

ตุตันคามุน :: Tutankamun


วันไปซิ่งที่ลอนดอนมา ไม่มีวัตถุประสงค์อะไรมากเท่าไหร่ แค่อยากไป
พอดีเจนกะภัทรจะไปอยู่แล้ว ก็เลยหาเรื่องไปกัน
แล้วก็ให้พอดีว่าช่วงนี้มีนิทรรศการเกี่ยวกับฟาโรส์ตุตันคาเมนจัดอยู่ เลยไปดู
จองตั๋วกันล่วงหน้าไว้สองสามวัน ตั๋วแพงใช้ได้ เทียบเป็นเงินไทยก็สักพันได้
ด้วยความอยากดู ก็เอาละ จองมันซะเลย กันแห้วถ้าไปซื้อหน้างาน


เช้าก็แวะไป สนร. รอภัทรรับเช็ค แล้วก็ถือโอกาสสอบถามเรื่องจะจบ ขากลับผ่าน National History Museum ที่เริ่มมีลานสเก็ตน้ำแข็งแล้ว ก็สองจิตสองใจกันว่าจะเล่นหรือจะกิน สรุปแพ้เรื่องกิน มุ่งหน้าหาร้านเกาหลี แต่แล้วก็กินแห้วจนได้ เพราะร้านปิดหนีไปแล้ว แง้ๆๆๆ อดเลย ลงท้ายที่ร้านวากามาม่าแทน แล้วก็นั่งต่อไปที่ O2 สถานที่จัดนิทรรศการกันเลย

ไปถึงก่อนเวลาพอควร ก็ไปเอาตั๋วนั่งพัก starbuck แล้วก็เข้าไปดู เพียงแค่แว่บแถวยาวมาถึงหน้าร้านกาแฟแล้ว เริ่มเข้างานดีนะที่ภัทรอยากถ่ายรูปก่อน เลยได้ชักภาพกะป้ายหน้างานคนละรูป พอเข้าไปในงานปรากฎว่าเค้าห้ามถ่าย เลยได้ภาพหน้างานมาอันนึง เริ่มเปิดงานด้วยการดูการนำเสนอผ่านจอ LCD
เกริ่นนำเรื่องได้ดีน่าสนใจมาก แล้วก็เปิดเค้าไปเจอรูปปั้นทำจากหินแกรนิตสีดำก่อนเลย ดูอลังการดี
เดินเข้าไปก็ห้องแสดงสมบัติของญาติตุตันคาเมน (ที่อังกฤษอ่านลงท้ายเป็น มุน) แล้วก็ผังลำดับญาติ
ก็จะเห็นว่าความเป็นว่าตุตันคาเมนเป็นลูกใครยังไม่ค่อยชัดเจนนัก

ห้องถัดๆ ไปส่วนใหญ่ก็จัดแสดงสมบัติที่ขุดพบของเหล่าฟาโรส์ สมัยต่าง ๆ ตามด้วย ของตัวตุตันคาเมนเอง
จุดเด่นคงเป็นห้องที่แสดงเครื่องประดับที่ใส่ไว้กับตัวมัมมี่ตุตันคาเมนเอง ส่วนโรงที่อลังการก็มีโรงนึงเป็นของ Tjuya ที่คาดว่าเป็น great grandmon ของตุตันฯ ที่ชอบอันนึงคือเค้ามีอธิบายอักษรภาพ (hieroglyphs) ด้วยว่าชื่อของตุตันคาเมนประกอบด้วยอะไรบ้าง จริงๆ คือ มาจาก คำสามคำ คือ Tut, Ank (King), Amun (Ruler of on Upper Egypt) แหม ทำให้คิดฝันไปว่าถ้าอ่านอักษรภาพได้จริงๆ น่าจะสนุกดี นึกถึงสารคดีที่ดูตอนที่เล่าเกี่ยวคนที่ค้นพบหลักการอ่านคนแรก คิดได้ไงเนี่ย สุดยอดจริงๆ แต่ที่น่าผิดหวังคือคิดว่าจะเอาโรงศพของตุตันมาจัดแสดง ดันไม่เอามาสักโรง เฮ้อ ผิดหวังๆ อ้อ มีอันเล็กอันนึงที่ไว้ใส่ตับ
หน้าตาเหมือนโรงใหญ่ที่ครอบไว้ชั้นสองหรือสามนี่แหละมาให้ดู แต่อันนี้มันเล็กไปนิด แต่ถ้าสังเกตดีๆ รายละเอียดมันเยอะเหมือนกัน เป็นอันว่าหมดละสำหรับนิทรรศการ

สุดท้ายเป้าหมายสำคัญอีกอันของวันคือไปหาบุฟเฟต์ญี่ปุ่นกินกัน แต่แล้วก็ต้องผิดหวังเพราะวันนี้ไม่มีบุฟเฟต์ เลยกินร้านญี่ปุ่นใน O2 ไปแทน แล้วก็กลับบ้านกัน

Friday, November 16, 2007

แล้วมันก็ผ่านไป :: When time passes

หลังจากเริ่มสำนึกว่าจะสอบแล้วสักอาทิตย์ ก็เริ่มเครียดนิดนึง
กลัวสอบไม่ผ่านอ่ะ ทั้งๆ ที่เวลาคนอื่นสอบ เราก็พูดว่าไงก็ผ่าน
แต่พอถึงตาตัวเอง มันก็แอบบอกแบบนั้น แต่ใจนึงก็กลัว
กังวลมากหน่อยก็วันสองวันก่อนสอบ กลัวตอบคำถามได้แย่ที่สุด

น่าจะเป็นเพราะเรารู้ว่าไอ้ที่เขียนไปยังไม่ดีพอเท่าไหร่
แถมพวกความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับ speech ก็ยังไม่ค่อยมีมากกว่าเดิม
ถ้าถามไอ้ตรงงานที่ทำเนี่ย ก็โอเคแหละ แต่ถ้าพวก paper review
หรือเกี่ยว speech เบื้องต้นนี่ ตายแน่

ก่อนสอบตื่นให้สายๆ ซะจะได้ไม่ต้องกระวนกระวายรอมาก
ว่าจะอ่านทวนอีกรอบ แต่ขี้เกียจตามเคย ก่อนเริ่มสอบก็พยาม
ระงับใจ คิดว่ายังไงเค้าก็มาสอบให้เราผ่าน ไม่ใช่มาเพื่อทำให้เราตก
คิดถึงตอนเราเป็นอาจารย์ ยังไงก็อยากให้เด็กผ่านมากกว่าตก
เพราะงั้นเค้าก็คงคิดเหมือนเรา คิดแบบนี้แล้วก็สบายใจ
นั่งรถสอบไปถึงบ่ายสอง

เริ่มสอบแบบไม่ซีเรียส หน้าตากรรมการใจดี โล่งไปนิดนึง
มาแบบชวนคุยมากกว่า แต่พอเริ่มถามตายจริงๆ อ่ะ เจอจนได้ phoneme คืออะไร แป่ว
ไม่ได้อ่านเลย ลืมไปหมดแล้วด้วย แถไปก็ไม่สำเร็จ จนมุม
คำถามอื่นๆ พวกบทแรกๆ เนี่ย ตอบไม่ค่อยได้เลย
แต่ยังดีว่าคำถามหลังๆ เกี่ยวกับงานเราเองค่อยตอบได้หน่อย
ตอบคำถามหลังๆ ยังประทับใจตัวเองเลยว่า เออตอบไปได้ไงฟะ
ยังไม่เคยคิดถึงคำถามแบบนี้มาก่อน ไม่ได้เตรียมว่าจะตอบยังไง
แต่พอตอบไปแล้วก็เออ แหม วุ้ย ตอบเข้าท่า ชมตัวเองก็เป็นวุ้ย

โดยรวมแล้วไม่ค่อยพอใจกับการสอบเท่าไหร่ เพราะช่วงแรกตอบไม่ได้อ่ะ
ส่วนงานเขียนก็อยู่แล้วอะนะ โดนเขียนเพิ่มส่วน conclusion คงจะหลายบท
ที่เหลือก็คงไม่หนักหนาเท่าส่วนนี้ จะเขียนทันมะเนี่ย กรรมการบอกว่า
อาทิตย์เดียวน่าจะเสร็จ จึ๋ยๆๆ ไอ้ที่เขียนส่งนั้นยังตั้งนานสองนาน
ถ้าไฟไม่ลน ก็คงไม่ได้ส่งสักทีแน่ๆ อันนี้ต้องเอาไฟอยากกลับบ้านมาลน

แต่มันไม่มีอาการแบบคนอื่นว่าอ่ะ แบบว่าพอเค้าบอกจับมือยินดี
มันจะดีใจมาก มันเฉยๆ เพราะรู้ล่ะว่ามันต้องออกมาแบบนี้
แต่ว่าจะแก้มากหรือน้อยเท่านั้นเอง ระหว่างสอบก็แค่อยากให้มันเสร็จๆ สักที
พอเสร็จ เราก็เออ มันก็เท่านี้อ่ะ จบละ แต่ยังต้องแก้ส่งกันต่อไป ถึงจะเสร็จสมบูรณ์
มันไม่ได้รู้สึกอะไรมากมายเลย แค่รู้สึกว่าต่อไปจะได้เล่นเน็ตให้หนำใจ
แต่ยังไม่ค่อยอยากทำอะไรเลย นอกจากเล่นเน็ตเหมือนเดิม
ชีวิตก็ต่างจากเดิมนิดหน่อย แค่ไม่ต้องกังวลเรื่องเรียนเท่าไหร่
ไม่ได้รู้สึกอะไรเลยกับคำว่า Doctor แค่เหมือนทำงานชิ้นนึงผ่านไป

บ่นๆๆๆ แล้วก็ไปนอนอืดเล่นเน็ตบนเตียงต่อดีกว่า