Saturday, November 22, 2008

ยาลดความอ้วน :: Drug treatment for obesity


ค่านิยมของคนไทยสมัยนี้ คงไม่พ้นเรื่องของผิวขาว และมักจะมาคู่กับความผอม
แต่ที่จะเขียนถึงวันนี้คงเป็นเรื่องหลังก่อน เรื่องอ้วนๆ ผอมๆ เป็นเรื่องขัดหูขัดตามานาน
หลายคนบอกว่าตัวเองอ้วน ทั้งๆ ที่เราดูแล้วก็ไม่เห็นว่าจะอ้วนตรงไหน
ก็ดูมีเนื้อหนังเหมาะสมพอดี เพียงแต่อาจจะมีเริ่มมีพุงเป็นบางส่วน
แต่โดยรวมที่บ่นๆ กันมักจะไม่ได้เข้าขั้นอ้วนเลย ออกไปทางอวบ
หรืออย่างแย่ก็อวบระยะสุดท้าย เรื่องที่น่ากังวลน่าจะเป็นเรื่องสุขภาพมากกว่า

ถ้าน้ำหนักเริ่มเกินเกณฑ์ นั่นแหละน่าจะต้องมาคิดถึงเรื่องลดความอ้วนกัน
ทั้งนี้ก็เพื่อสุขภาพโดยแท้ เพราะถ้าอ้วนแล้วก็จะมีโอกาสที่จะเป็นโรคต่างๆ ตามมา
พอเริ่มนึกถึงลดความอ้วน หลายๆ คน โดยเฉพาะสาวๆ ก็มักจะคิดถึงทางลัด
มากกว่าที่จะนึกถึงเรื่องการออกกำลังกาย เพราะความขี้เกียจหรือข้ออ้างสารพัด

ใครที่มาพูดเรื่องยาลดความอ้วนกับเรา เราก็อดที่จะค้านไม่ได้ทุกครั้งไป
จนกระทั่งเร็วๆ นี้ มีเหตุการณ์ที่เราต้องเข้าไปเกี่ยวข้องอันเนื่องมาจากยานี้

เหตุการณ์มีอยู่ว่า ในคืนนึงที่กำลังจะเตรียมปั่นงานสอนวันรุ่งขึ้น ก็มีนศ.มาตาม
บอกว่าให้ช่วยไปดู นศ.ในหอหนึ่งที่มีอาการไม่สบาย และพูดจาไม่รู้เรื่อง
เวลานั้นเกือบเที่ยงคืนได้แล้ว เราก็รีบเร่งไปดูอาการ ไปถึงก็เริ่มพูดคุยซักถาม
จากการพูดคุย ก็พบว่าเด็กพูดคุยแบบรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง มีอาการไม่ปกติ
ในทางจิต อาการทางกายไม่น่าจะมีอะไร แต่ถามแล้วเด็กบอกปวดท้อง
ก็เลยชักชวนให้ไป รพ. เด็กก็ตกลงไป สอบถามเพื่อนว่าเด็กกินยาอะไรอยู่ไหม
ก็ได้ความว่า กินยาลดความอ้วนของคลินิกหนึ่งมานานพอควร เราเลยคิดละ
ว่าอาจจะเป็นเพราะฤทธิ์ยา เลยให้เด็กไปค้นหายา จะได้เอาไปให้หมอดูด้วย
แต่ก็ไม่เจอ ค้นกระเป๋าก็ไม่ได้ เพราะเด็กหวงไว้กับตัวตลอด ค้นไม่ทัน

สักพัก รพ.ส่งรถมูลนิธิฯ มารับเด็ก ปรากฎว่าเด็กไม่ยอมขึ้นรถ เดินดุ่มๆ ออกไป
เดินไปเรื่อยๆ จนจะถึงหน้ามอ อีกทางก็ให้แม่บ้านโทรแจ้งพ่อแม่เด็กให้มารับ
แล้วเราก็รีบไปดักเด็กไม่ออกนอกมอ เพราะยาไม่สามารถปิดประตูหน้ามอให้ได้
เลยต้องไปห้ามทัพ พยายามพูดกับเด็กไม่ให้ออกไปข้างนอก สุดท้ายก็ยอม
นั่งรออยู่ข้างประตูทางออก แล้วก็เริ่มพูดไม่รู้เรื่องเหมือนเดิม เกลี้ยกล่อมให้กลับ
ก็ไม่มีท่าทีว่าจะกลับ พอดีพี่ที่ทำงานกองกิจการ นศ ที่เป็นนักจิตวิทยามาช่วย
ก็เลยคุยกันว่าเด็กไม่รับรู้แล้ว คงต้องพาไปส่ง รพ. ก็เรียกรถมาอีกรอบ
คราวนี้รถมูลนิธิมาเหมือนเดิม แต่พร้อมด้วยคนมากขึ้น ดูแล้วเด็กก็คงยังไม่ยอม
ก็เลยต้องอุ้มขึ้นรถกัน ส่งไป รพ. หมอซักถามอาการก็ดูไม่ค่อยเชื่อมาก
เพราะถามเด็กแล้วตอบได้เหมือนรู้เรื่อง ยังว่าเราพาส่ง รพ.ทำไมอีกแน้

สุดท้ายก็บอกว่าขอให้นอนดูอาการที่ รพ.ก่อน พรุ่งนี้พ่อแม่เด็กมาก็ว่ากันอีกที
เดือดร้อนเพื่อนๆ ของเด็กอีก 2 คนที่ต้องนอนเฝ้า กว่าจะได้กลับมานอนก็เกือบตีสาม
เช้าหกโมงกว่าก็รีบไปรับเด็กที่นอนเฝ้ากับหอ ติดตามข่าวภายหลังก็พบว่า
เด็กได้พบกับหมอทางจิตเวชแล้ว พบว่ามีอาการทางจิต สาเหตุน่าจะมาจากยาลดความอ้วน

เราก็เล่าเรื่องนี้ให้หลายๆ คนที่มีความคิดจะกินยาลดความอ้วนฟัง
หวังว่าจะเป็นอุทธาหรณ์ แล้วเลิกล้มความคิดที่จะลดความอ้วนด้วยวิธีนี้
สำหรับนศ. คนนี้ยังเป็นอาการที่ไม่หนักมากนัก แต่ถ้าหากค้นดูข่าวเก่าๆ แล้ว
ก็จะพบว่ามีหลายคนที่กินยาแล้วมีอาการหนักมากกว่านี้หลายเท่า
มีทั้งความจำเสื่อมไปเลย อย่างเช่น ข่าวนี้
http://news.sanook.com/crime/crime_13864.php

หรือ ซึมเศร้า จนนำไปสู่การฆ่าตัวตาย อย่างเช่นข่าวนี้
http://www.matichon.co.th/khaosod/view_news.php?newsid=TUROd01ERTJNVEkxTURRMU1RPT0=§ionid=TURNd01RPT0=&day=TWpBd09DMHdOQzB5TlE9PQ==

หรือมีอาการทางประสาท อย่างเช่น ข่าวนี้
http://news.giggog.com/social/cat2/news2945/

ถ้าใครอยากหาอ่านคำเตือนจากแพทย์และบทความน่าสนใจเกี่ยวกับยาลดความเพิ่มเติม
ก็ได้ตาม link ด้านล่างนี้เลย หรือค้นใน google ก็ได้นะ
http://learners.in.th/blog/meple/116121
http://asdf.dek-d.com/board/view.php?id=1080944
http://www.komchadluek.net/news/2004/12-17/p1--53733.html
http://www.geocities.com/yongyang_98/doctors2/food_obese13.html

Saturday, June 21, 2008

ปลูกป่าชายเลนที่คลองโคน

วันเสาร์ที่แล้ว (14 มิ.ย.51) ได้ไปปลูกป่าชายเลนที่ จ.สมุทรสงคราม
ทริปนี้เกิดจากความใจง่าย ว่างเป็นไม่ได้ ขอให้ได้ออกไปเที่ยว
แล้วยังได้ทำกิจกรรมอะไรที่เป็นประโยชน์บ้าง

ได้ยินข่าวนี้จากพี่บอยที่คุยกะแก้วเรื่องปลูกป่าชายเลน
แอบหูผึ่งฟัง แต่ยังไม่ถามไรมากเพราะต้องมาเช็คก่อนว่าว่างเปล่า
พอใกล้วัน ทักเจ๊เปิ้นไป ถามเรื่องนี้ หาแนวร่วมได้เลยเรียบร้อย
เจ๊เปิ้นช่วยเรื่องนัดหมาย กับพาหนะให้ตามเคย คราวนี้เป็นรถแก้ว
เจ้านิวติดอบรมไม่ว่าง อดปายยยย

นัดเจอกันแถวสถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน เจอไอ้หญิงก่อน แล้วแก้วขับมารับ
ไปกันห้าคน แก้ว หลานแก้ว นุ้ย (เพื่อนแก้ว) หญิง แล้วก็เรา
ขับไปรวมพลที่ปั้มใกล้ๆ ปากทางเข้า เจ๊เปิ้นตามมาสมทบที่ปั้ม
พร้อมเดี๋ยวแก๊งหนุ่ม นพอ. มีพี่ย้ง พี่ยุ พี่ต๊อก ตามมาติดๆ
หลังพร้อมลุย พี่เสริฐก็บอกให้ขับรถเข้าไป หลงตั้งแต่เริ่มเดินทาง
เลี้ยวผิด ต้องถอยยาวมาเข้าซอย ตามด้วยพลขับสุดซ่าเจ้าแก้ว
ขี้เกียจรอขบวน นำไปเลยทั้งๆ ที่ไม่รู้ ฮาๆๆ แต่ก็ยังมั่วกันไปได้

ถึงที่ก็แปลงร่างแล้วนั่งเรือไปชมวิวอันแสนไกล ชมโฮมสเตย์กลางเลน
บรรยากาศเกินบรรยาย รับรองไม่มีใครรบกวน และไม่รบกวนใคร
เสร็จก็พากันไปปฎิบัติหน้าที่นางงาม เอ้ย หน้าที่ที่เต็มใจมาทำ
ช่วยกันปลูกไปพันกว่าต้นได้ คนก็ไม่เยอะเท่าไหร่ ไม่น่าเชื่อปลูกไปได้เป็นพัน

เลอะได้ที่ กลับมาก็อาบน้ำท่ากินข้าว แล้วก็ช่วยกันออกค่าเรือ ค่าใช้จ่าย
งานนี้พี่เสริฐเป็นตัวตั้งตัวตี ติดต่อกรมทรัพยฯ เพราะพี่แกมาบ่อย
แต่ค่าใช่จ่าย ก็ช่วยๆ กันออกไป เป็นค่าเรือ ข้าวกล่อง
ส่วนต้นแสมที่ปลูกน่าจะของกรมนะ ไม่เกี่ยวกับค่าใช้จ่ายตรงนี้

จากนั้นก็ไปต่อกันที่ตลาดน้ำอัมพวา ดูรูปมานาน ได้ไปซักที เย้ๆ
ของกินยั่วน้ำลายเพียบ ไอ้นั้นก็น่ากิน ไอ้นี่ก็น่ากิน ชิมไปหลายอย่าง อร่อยๆ
แล้วสุดท้ายก็ไม่วายได้ของแต่งห้องมาอีกแล้ว ต้นไม้ กับที่หนีบรูป

รูปภาพขี้เกียจโหลดซ้ำไปดูกับของเจ๊เปิ้นเอาละกัน ตาม link ข้างล่างเนี่ย
จริงๆ เอากล้องไป แต่ดันลืมชาร์ตแบต ฮ่วย

http://ple0226.multiply.com/photos/album/10?replies_read=15

Sunday, January 13, 2008

รวมมิตรความคิด :: Medley of thought


คิดไว้นานแล้วว่าจะกลับวันไหน แต่ยังไม่ได้จัดการจริงจังสักที
เพราะมันแต่ผลัดวันประกันพรุ่ง อยากทำแก้เล่มให้เสร็จก่อน
จนแล้วจนรอดก็ยังแก้ไม่ถึงไหน แต่ดูท่าจะไม่ได้เรื่องแล้ว
เลยต้องติดต่อ สนร. สักหน่อย เพราะปกติเค้าว่าควรแจ้งล่วงหน้าสักเดือน

ทำเรื่องไปแล้ว ก็ยังไม่ค่อยรู้สึกว่าตื่นเต้นจะกลับสักเท่าไหร่
คงเป็นเพราะใจยังเป็นกังวลว่างานไม่เสร็จ แต่ก็นะ ก็ยังไม่ขยับไปไหน
ยังขี้เกียจเสมอต้นเสมอปลายเหมือนเดิม ยกเว้นไว้เรื่องที่ไม่เคยขี้เกียจ
ติดเน็ตงอมแงม ไม่มีเน็ตก็เหมือนปลาขาดน้ำ ขนาดนั้นเลย ก๊ากๆๆ

ต้องกลับไปทำงานแล้ว ขี้เกียจแบบนี้คงแย่ จริงๆ อยู่ต่อก็สบายๆ
มีตังค์พอใช้ งานก็ยังไม่ต้องรับผิดชอบไร นอกจากแก้เล่ม แต่ใจน่ะ
มันไม่อยากอยู่แล้ว 4 ปีกะอีก 4 เดือนกว่าๆ เนี่ยมันพอละ

จริงๆ แล้ว อยู่ที่ไหนมันก็ไม่ค่อยสำคัญมากเท่ากับว่าใจเราอยู่ที่ไหน
เหมือนที่เค้าว่าไว้ว่า "Home is where the heart is."
เพราะที่เมืองไทย เรามีคนที่รัก ที่เราผูกพันอยู่ เราถึงอยากกลับไป
ถ้าไม่มี ก็คงยังเฉยๆ เรื่องกลับไวกลับช้าก็คงไม่ต่างกันมากเท่าไหร่
อ้อ อากาศยังเป็นอีกอย่างที่ไม่ชอบที่อังกฤษเอาซะเลย หนึ่งวันดี
สี่วันฝน ส่วนลมแรงมีได้ทุกวัน ขอกลับไปร้อนๆ บ้านเราดีกว่า

ว่าแล้วก็อยากร้อนเฟ้ยยยย แต่ยังไม่อยากกลับไปทำงานเลยยยย

Saturday, December 29, 2007

ตลาดสด :: Fresh market


สองสามอาทิตย์ก่อนได้คุยกับอร เพื่อนสมัยเรียนมัธยม อรทำงานเป็นเภสัชอยู่โรงพยาบาลประจำจังหวัด

อรบอกว่าบ้านอรปิดกิจการขายข้าวแล้ว บ้านอรเป็นร้านขายข้าวใหญ่พอสมควร จำได้ว่าไปซื้อข้าวบ้านอรก็เห็นคนมาซื้อพอสมควรทุกที

อรเล่าว่าช่วงหลังๆ มานี่ ขายไม่ค่อยดีเหมือนกัน ทำเลบ้านอรอยู่หลังตลาดสด ตัวตลาดเองก็เงียบเหงาลงทุกวัน ๆ คงเป็นเพราะว่าคนส่วนใหญ่ไปซื้อของตาม supermarket กัน

นี่ขนาดว่าจังหวัดเรายังไม่มีพวก tesco lotus หรือ big c พวกที่เป็นห้างร้านใหญ่ๆ มาเปิด
คนขายของปลีกตามตลาดยังแย่ขนาดนี้ ทั้งเมืองตอนนี้มีห้างใหญ่อยู่ห้างเดียวแท้ๆ
ไม่น่าเชื่อว่าทำให้วิถีชีวิตเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้

พอพูดแล้วก็ทำให้คิดถึงตลาดสมัยก่อน ที่เราเคยเดินตั้งแต่สมัยยังเด็ก ถ้าพูดถึงตลาดสดแล้ว
ก็จะนึกถึงภาพตลาดที่ขายของสดทุกอย่าง หมู เห็ด เป็ด ไก่ ปลา ผลไม้ เสื้อผ้าก็ยังมี มีทุกอย่างจริงๆ
รวมถึงข้าวเกรียบปากหม้อญวนเจ้าอร่อยของเราด้วย แต่พอนึกถึงพื้นตลาดแล้ว ก็ทำให้นึกถึงภาพ
ที่ไม่ค่อยโสภาสักเท่าไหร่ เพราะมันมักจะเฉาะแฉะเต็มไปด้วยน้ำคร่ำดำๆ ที่ต้องคอยเดินหลบ

เลยไม่แปลกที่พอมี supermarket เข้ามา เป็นสถานที่ที่มีทุกอย่างขายเหมือนกัน
ราคาอาจจะแพงกว่าตลาด แต่สถานที่สะอาดกว่า พร้อมแอร์เย็นๆ ก็ทำให้คนหายไปเดินห้างกันหมด
อย่างว่า ใด ๆ ในโลกล้วนเป็นอนิจจัง อะไรๆ ก็ต้องต้องมีการเปลี่ยนแปลงกันไป
แต่คิดแล้วก็อดใจหายไม่ได้ ถ้าจะขาดสีสันแบบตลาดสดเก่าๆ ที่บ้านเรา
ที่สำคัญ แล้วเราจะไปหากินข้าวเกรียบปากหม้อญวนอร่อยๆ แบบนั้นที่ไหนได้อีกเนี่ย




Tuesday, December 18, 2007

ชีวิตมอปลาย :: My high school


มาต่อกันที่ชีวิตหลังเจอทางเลือก ตอนจบ ม.ต้น สรุปว่าเรียนตามกระแสเหมือนเดิม
สายวิทย์ แต่แอบเลือกเป็นศิลปะนิดนึง ชีวิตเริ่มไม่ง่ายเหมือน ม.ต้นแหะ จากเดิมเรียนๆ เล่นๆ
ไม่ต้องอ่านหนังสือเท่าไหร่ก็ยังผ่านได้สบายๆ แต่เพื่อนๆ ห้องเรานี่ดิเริ่มจริงจังกันมากขึ้น
โดยเฉพาะพวกที่หัวกะทิข้นๆ นี่คิดถึงขั้นเตรียมเอนท์กันแล้ว ส่วนเราก็ยังเรื่อยๆ เรียงๆ
ออกแนวขวางโลกเล็กๆ ด้วยซ้ำ ว่าทำไมไม่ใช้ชีวิต ม.ปลายให้มันสนุกสนานหน่อย
เอาแต่เรียนๆๆๆ ตกเย็นก็ยังไปเรียนพิเศษกันอีก ว่าแล้วก็สวนกระแสชาวบ้านไม่ค่อยสนใจเรียน

แต่ว่านี่มันไม่ใช่กล้วยๆ แล้วอะดิ พอวิทยาศาสตร์มันแยกเป็น ฟิสิกส์ เคมี ชีวะ
โอ้ย ไมมันยากแบบนี้ฟะ โคตรยาก จากเรียนเกรดสามปลายๆ นี่ก็ลดมาสามต้นๆ
แถมเกรดต่ำกว่า 3 ไม่เคยรู้จักก็มาเสร็จที่ม.ปลายนี่แหละ ได้สองมากิน ยังดีไม่หล่นไปหนึ่ง
นี่ขนาดมีโพยลอกกันกระจายบางวิชานะเนี่ย ไม่ไหวๆ เริ่มคิดจะกลับไปเรียนสายศิลป์อีกทีละ
แต่ใจยังไม่กล้าพอ เพราะต้องเรียนซ้ำอีกปี แต่ก็มีนังปุ๊กที่ตัดสินใจเลือกทางที่ตัวเองชอบ
ไปสอบ ม.4 ที่ มข.เริ่มเรียนใหม่ เออ มันแน่จริงว่ะ ส่วนที่เหลือที่รู้ว่าไม่ใช่ทางที่ชอบๆ
ก็จำต้องก้มหน้าเรียนไป แล้วค่อยไปอ่านหนังสือเอ็นท์สายศิลป์เอาเอง เราก็เป็นหนึ่งในนั้น

ม.4 ฟลุ้กสอบเทียบผ่านพอดี มีสิทธ์ได้เอ็นท์ เลยเลือกสายศิลป์หมดเลย แน่นอน คณะโบราณ
เป็นหนึ่งในตัวเลือกแหงๆ ที่เหลือก็พวกมนุษย์ฯ ทั้งหลาย แต่ไม่มีใครสอบสายศิลป์ด้วยเลยปีนั้น
เพราะส่วนใหญ่ยังสอบเทียบไม่ผ่าน ไม่มีเพื่อนไปสอบเลย หนังสือก็ไม่ค่อยได้อ่าน เอาข้อสอบ
เก่าๆ มาทำแค่ปีนึงย้อนหลัง แล้วก็ไม่ค่อยได้อ่านอีกเลย สรุปไปสอบก็กามั่วเป็นส่วนใหญ่
ทำข้อสอบไวมาก เสร็จเป็นคนแรกเกือบทุกวิชาเลย เพราะทำไม่ได้นั่นเอง ฮาๆๆ ผลคงไม่ต้องบอก
ไม่ติดสักคณะ ขนาดปีนั้นเลือกได้ตั้ง 6 ตัวเลือกแน่ะ

ม.5 เอาใหม่ ตอนนี้เริ่มตามเพื่อนไปเรียนพิเศษล่ะ เพราะเรียนในห้องไม่รู้เรื่องเลย โดยเฉพาะ
ฟิสิกส์กะเคมี แล้วจะไปเล่น ก็ไม่มีใครเล่นด้วย ปีนี้เตรียมตัวเอนท์กันเกือบทั้งห้องเลย
มีเพื่อนไปสอบเพียบ ด้วยความขี้เกียจอ่านหนังสือ เลยเลือกมั่วๆ เอนท์สายวิทย์ไป เลือกวิดยาหมด
ไป 4 อันดับ กะว่าติดก็เอาแล้ววะ ขี้เกียจเรียนม.ปลาย กับอ่านหนังสือเอนท์ละ เพราะม.6 มัน
คงกดดันน่าดู ปีนี้เตรียมตัวขึ้นมานิด เอาข้อสอบเก่ามาทำย้อนหลังสามสี่ปี วิชาที่ทำได้ดี ไม่ใช่
วิชาวิทยาศาสตร์เลยสักตัว เวรกรรมตู จะรอดมะเนี่ย เอาวะ ประเมินคะแนนคร่าวๆ ก็น่าจะติด
อันดับสี่ ไม่ก็อันดับสุดท้ายละวะ อ้อ อันดับสุดท้ายเลือก วนศาสตร์ เกษตร นะคร้าบบบ
ตอนนั้น มีรุ่นพี่คนนึงไปเรียน รู้สึกว่าเท่ห์ดี ได้เข้าป่า ก็เหมือนได้เที่ยว ไม่วายๆ ห่วงเที่ยวตลอด
เรียนก็ไม่น่าหนักมาก ชีวะพอไปได้ ช่วงนั้นกระแสของการอนุรักษ์กำลังมาแรงเนื่องจากการตาย
ของสืบ นาคะเสถียร ประกอบกับชอบแนวสิ่งแวดล้อม แนวอนุรักษ์อยู่แล้ว เลยสนใจคณะนี้
อุดมการณ์อย่างแรง เป็นจังหวะดีที่ปีนั้น ไปสอบสนามสอบเดียวกับนังเก๋ เลยไปหาที่พักและ
อยู่ด้วยกันช่วงสอบ มันก็ช่วยทบทวนวิชาทุกคืน เหมือนช่วยกันติวไปในตัว เพราะถ้าสอบคนเดียว
มีหวังไม่อ่านตามเคย นังเก๋เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เอ็นท์ติด เพราะข้อสอบออกเหมือนที่มันถามเพียบ
เลยทำให้ได้คะแนนเกินกว่าที่คาดมาหน่อย แต่ทำให้ไปติดคณะที่ไม่คาดคิด ที่เลือกไปงั้นแหละ

แอ่น แอน แอ๊น วิดยา ศิลปากร นั่นเอง เลือกเพราะว่ามันเป็นวิดยา และเลือกเพราะใจชอบศิลปากร
ไม่ได้เรียนโบราณ แต่เรียนมหาลัยเดียวกันก็ยังดีวะ แถมมี จิตรกรรม ถาปัด เด็ค คณะที่ใฝ่ฝัน
แต่เอื้อมไม่ถึง อักษรฯ ก็มีอ.วินิตา หรือ ว.วินิจฉัยกุล หนึ่งในนักเขียนในดวงใจสอนอยู่ด้วย
โอ้ สวรรค์จริงๆ แต่ช้าก่อน ช่างไม่รู้อะไรบ้างเลย วิดยาต้องไปเรียนนครปฐม หาใช่วังท่าพระไม่
แป่ว ตูหนอตู อยู่ไหนฟะเนี่ย แต่พ่อกะแม่ก็ดูดีใจ เพราะไปอยู่ใกล้ถิ่นเกิดพ่อมากขึ้นหน่อย

จำได้ สมัยนั้นผลสอบมาเป็นซองๆ แล้วก็มีถ่ายทอดทีวีต้องถ่างตาดูหลังเที่ยงคืน จำไม่ได้ว่ารู้จาก
อันไหนก่อน ทีวีก็ถ่างตาดูหาชื่อตัวเอง ซองก็ได้ แต่สมัยนั้นอยู่บ้านพักหลวง ต้องส่งจ่าหน้าไปที่
ส่วนกลางของวิทยาลัย ถ้าไม่เดินไปดูเอง พ่อก็จะดูและหยิบมาให้ วันนั้นพ่อเจอก่อน คงรู้ว่าซองผล
คุณท่านแอบแกะก่อนเลย แล้วเดินดุ่มๆ ไปหาหนังสือสมัครเอนท์มาเปิด โดยที่ยังไม่บอกเรา
เพราะอยากรู้ว่าติดอะไร เพราะผลในซองบอกแค่รหัสคณะที่เลือกไว้ แล้วก็ลงมายื่นซองคืนเรา
แหมๆ ไม่เท่าไหร่เลย พอรู้ผลก็รีบโทรหานังเก๋ก่อนเลย สมัยนั้นมือถงมือถือไม่ต้องพูดถึง
โทรศัพท์บ้านยังไม่มีเลยคร้าบ ต้องเดินไปตู้หยอดเหรียญ โทรหันมันด้วยความดีใจ แล้วมันก็ติด
ตามคาดเหมือนกัน ได้เรียนหมอ มข. สมใจ ส่วนเพื่อนๆ ปีนั้นติดกันครึ่งห้องได้ แต่ที่น่าแปลกคือ
ไม่มีผู้ชายเอ็นท์ติดสักคน มีแต่ผู้หญิง เหอๆๆ สรุปว่าหายกันไปครึ่งห้องได้ เพื่อนที่อยู่ต่อ ม.6
มันก็หงอยๆ เหงาๆ เหมือนกัน พวกผู้ชายที่เรียนดีกว่าเราก็ไม่ติด น่าจะเป็นเพราะเลือกกันสูงๆ
แต่สุดท้าย ตอนจบ ม.6 พวกมันก็สอบได้วิศวะ สมใจ ส่วนที่เหลือก็ได้คณะดีๆ กันทั้งนั้น
เป็นอันจบชีวิต ม.ปลาย

Tuesday, December 11, 2007

โตขึ้นอยากเป็นอะไร :: What you want to be?


จะว่าไปแล้ว ชีวิตคนเรานี่มันเรียนแบบตามหลักสูตรกันเป็นสิบปีเลยนะ
ยิ่งคนเรียนเอกเนี่ย ปาไปแล้วเกือบครึ่งนึงของชีวิตเลยนะเนี่ย
ถ้านับว่าเกษียณที่ 60 ปี ลองมานับดูดีกว่าว่าเรียนไปกี่ปี

อนุบาล 1-2 เดี๋ยวนี้ได้ยินว่ามีอนุบาล 3 กันแล้วด้วย ดีนะเป็นคนรุ่นเก่า
ประถม 1-6
มัธยม 1-5 ลัดมาได้ปีนึง ปกติ 6 ลดเหลือ 5
ป.ตรี 1-4
ป.โท 1-3 หลักสูตรเค้าให้เรียน 2 ปี เรียนแถมมาอีกเทอมกว่า ปัดเป็น 3
ป.เอก 1-4 แถมอีกละ หลักสูตรเค้าว่า 3 ปี ก็แถมมาอีกปีกว่า ปัดลงไปแถมกะโทละกัน

รวมเป็น 2+6+5+4+3+4 = 24 ปี แม่เจ้า เรียนอะไรนานขนาดนี้ฟะ
เหลือเวลาที่ทำงานประมาณ 36 ปี ไม่ใช่ดิ เพราะยังไม่นับตอนเป็นเด็กยังไม่เข้าโรงเรียน
ก็สัก 4 ขวบได้ เพราะงั้นไอ้ที่เรียนๆ มาเนี่ย เอาไปใช้ทำงานซะ 32 ปี

แล้วสุดท้าย ไอ้ที่เรียนมาบางทีก็ไม่ใช่ที่อยากจะเรียน หรืออยากจะทำที่สุดซะงั้น
มานั่งนึกๆ ดูว่า สมัยเด็กๆ น่าจะประมาณประถม ผู้ใหญ่ชอบถามว่าโตขึ้นอยากเป็นอะไร
จำไม่ได้ว่าเราตอบว่าอะไรไปมั่งหว่า น่าจะมีตอบว่าเป็นหมอไปบ้างละว้า ตามความฮิตสมัยก่อน
คำตอบนี้ น่าจะมีแรงจูงใจมาจากความคิดที่ว่ามันคงจะดีถ้าเราจะช่วยรักษาพ่อแม่
และคนรอบข้างที่เรารักได้ แต่ถ้าจะเอาจริงๆ แล้วคงไม่ชอบเท่าไหร่ เพราะไม่ชอบโรงบาลซะเลย
โตมาหน่อยก็พอรับรู้ว่า คนเป็นหมอต้องพวกเรียนเก่งจริงๆ หัวปกติธรรมดาแบบเราคงไม่ไหว

อีกคำตอบนึงน่าจะเป็นนักกีฬาทีมชาติ เพราะเราอยู่ในแวดวงกีฬา เห็นนักกีฬาได้ไปแข่ง
ที่โน่นที่นี่ ได้เที่ยวด้วย ได้แข่งกีฬาสนุกๆ ด้วย พบคนใหม่ๆ น่าจะสนุกดี อ้อ สมัยนั้นเริ่มมีแวว
อิอิ เพราะเป็นนักวิ่งกีฬาสีประจำ วิ่งเพราะเค้าไม่มีคนเลยมาเรียกไปวิ่งให้หน่อย ทั้งที่ๆ ไม่เคยซ้อม
แต่ก็ได้ที่สองสามประจำ แต่ที่หนึ่งไม่เคยได้หรอกนะ ว่ายน้ำก็ไปว่ายแข่งกับเค้า ตามเคย
ที่หนึ่งไม่รู้จัก ที่สองที่สามตามเคย เพราะไปโดนอยู่รุ่นใหญ่กว่าประจำ เค้ามีแข่งรุ่นอายุไม่เกิน
9, 12, 15 ประมาณนี้ ไอ้ตอนแข่งก็ให้เกินรุ่นไปไม่กี่เดือนทุกที ตอนเจอรุ่นใหญ่ 15 ปี ตูเพิ่ง
เลยวันเกิดมานิดเดียวเอง พี่ๆ ท่านก็ตัวใหญ่ๆ กันทั้งน้าน อ้อ มีช่วงประถมต้น จำได้ว่าอาน้อง
อ.ที่วิลัย ก็มาเกณฑ์เด็กๆ ไปหัดเล่มยิมนาสติกกันใหญ่ ตอนนั้นม้วนหน้า ม้วนหลัง หกคะเมน
ตีลังกาได้หมด กำลังจะไปได้ดี อาน้องก็ย้ายไปอยู่พละที่ลำปาง เลยหมดแววนักยิมทีมชาติไป

พอมามัธยม เริ่มเห็นความจริงขึ้นมาหน่อย แต่ก็ยังวนเวียนอยู่ในแวดวงพ่อแม่นั่นแหละ
เริ่มอยากเรียนพลศึกษา ดูน่าจะเรียนสบายดี ได้เล่นกีฬาเกือบทุกอย่างที่อยากเล่น มองไป
ก็เหมือนต้องเรียน เล่นอย่างเดียว สบายๆ จากผลการเรียนเรา เรียนพละมีหวังได้ที่หนึ่งแหง
ก๊ากๆ สงสัยเก็บกดอยากเป็นที่หนึ่งจัด เลยออกมาแนวนี้

ม.3 ได้ไปเที่ยวที่อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัยกะศรีสัช อ้อ อยุธยาด้วย โห ประทับใจมาก
จริงๆ ตอนประถมก็เคยไปเที่ยวมาแล้ว แต่ยังไม่ประทับใจมาก สงสัยยังเด็กไป
แต่ครั้งนี้มี จนท โบราณคดีมาให้ความรู้ด้วย ชอบมาก เริ่มอยากสวมวิญญาณนักโบราณคดีเลย
พ่วงด้วย อยากเป็นไกด์อีกอย่าง เพราะที่บ้านพอปิดเทอมก็ชอบพาไปเที่ยว เลยใจแตก
เป็นเด็กชอบเที่ยว เป็นไกด์ได้เที่ยวฟรีด้วย ได้ตังค์ด้วย แหม อาชีพไรเนี่ยดีเจงๆ
สมัยนั้นหนังสือประวัติศาสตร์เต็มบ้าน เพราะพ่อชอบอ่าน ไทยรบพม่า หนังสือสารคดีประวัติ
กษัตริย์ บุคคลสำคัญทั้งหลาย อ่านหมด

ช่วงนั้นเป็นยุคที่อ่านมันดะ นิตยสารก็อ่านฟรี เพราะมีแม่เป็นบรรณารักษ์ทำงานห้องสมุด เย็นก็ไปรับหนังสือจากร้านส่งหนังสือ เราก็เอามาอ่านซะก่อน รุ่งเช้าแม่ก็เอาไปเข้าห้องสมุด เล่มไหนยังไม่อ่าน
เย็นก็ให้แม่หยิบกลับมา เช้าก็เอาไปคืนได้ เลยได้อ่านหลากหลาย นิยายก็อ่านติดงอมแงม
เพราะแม่ชอบอ่าน เลยอ่านตาม อ่านจนหมดบ้าน จากหนังสือบางเล่มที่ไม่คิดแตะ พอมันไม่มีไรอ่าน
ก็เลยหยิบมาอ่าน ทำให้ได้ความรู้หลายด้าน

จุดที่ต้องตัดสินใจครั้งแรกสำหรับการเลือกทางเดิน ก็คือ จบ ม.3 เพื่อนๆ ส่วนใหญ่ในห้อง
ก็คิดจะต่อม.ปลายสายวิทย์กันเกินครึ่ง ตามประสาเด็กเรียนเก่ง ส่วนเราเริ่มอยากต่างไป
อยากเรียนสายศิลป์ ภาษา แต่ด้วยความที่อยู่บ้านนอก มันไม่มีอ่ะ สอนภาษาที่สามเนี่ย
แล้วมันจะเรียกว่าสายภาษาได้ไงฟะ อีกอย่างสายภาษาเนี่ยก็มีแต่เด็กที่เรียนอ่อน
ความประพฤติไม่ค่อยดี ไม่เป็นที่นิยมของเด็กเก่งว่างั้น เลยคิดหนัก ไม่งั้นต้องไปหาเรียนไกลบ้าน
ที่เล็งไว้ก็น่าจะสาธิต มข. ที่มีศิลป์ ฝรั่งเศส ส่วนอีกด้านก็มีเพื่อนในกลุ่มนึงชอบศิลปะ ชอบวาดรูป
เหมือนๆ กัน แต่มันวาดรูปเก่งกว่าเราเยอะ กวาดรางวัลประกวดบ่อยๆ มันมุ่งมั่นมากว่าจะไปเรียน
ช่างศิลป์ แล้วก็มีส่วนนึงที่คิดจะไปต่อสายอาชีพกัน เช่น อาชีวะ เทคนิค ตอนแรกใจเอนไปทาง
ช่างศิลป์ละ แต่ดูจากฝีมือการวาดรูปตัวเองแล้ว วาดภาพเหมือนพอไหว แต่หัวสร้างสรรไม่ค่อยมี
ไม่น่าจะรอด สุดท้ายเลยไม่ไปสอบกะมัน ท้ายสุดจริงๆ ไปไหนไม่รอด เลยชักชวนเพื่อนเรียนต่อสายวิทย์ เน้นศิลปะแทน โน้มน้าวเพื่อนไปสอบด้วยกันได้เกือบเกินครึ่ง เพราะตอนแรกมันว่าจะไปวิทย์ สาธารณสุข
แต่เรารักเพื่อน แต่อยากเรียนศิลปะ ว่าแล้วก็ว่านล้อมพวกมันจนหลงกลมาเรียนด้วยกันจนได้
ส่วนมากตอนนั้นพวกที่เรียนเก่งมากๆ ก็เล็งว่าอยากเป็นสายหมอ วิศวะกันแล้ว เราก็โน้มน้าวไป
ว่าเรียนหมอ ต้องมีทักษะวาดรูป เรียนอนาโตมี เรียนหมอฟันก็ต้องวาดรูปฟันได้ เหอๆ
ส่วนพวกอยากเป็นวิศวะ ก็บอกว่าต้องมีเขียนแบบ เรียนถาปัตก็ต้องทักษะวาดรูปดี อิอิ สำเร็จๆ

ส่วนสาธิตไปสอบเหมือนกัน สอบได้แล้ว แต่เรียนไกลบ้าน ค่าใช้จ่ายคงเยอะ ไหนจะค่าเรียนแพงกว่าเห็นๆ ค่าที่พัก ค่ากินอยู่ แม่คงลำบากแน่ เลยตัดใจ

เขียนโม้แล้วชักยาว ชีวิตหลัง ม.ปลายไว้ต่อตอนหน้าดีกว่า

Thursday, December 06, 2007

วันพ่อ :: Father's day

เกือบลืมไปเลยว่าเมื่อวานเป็นวันพ่อ พอไม่ได้อยู่เมืองก็เลยไม่รู้สึกว่านี่วันพ่อแล้ว
เพราะปกติวันพ่อบ้านเราก็จะประดับประดาไฟกันล่วงหน้านานพอควร แต่อยู่นี่มันไม่มีนี่เนอะ

จริงๆ แล้วสำหรับเราแล้ว วันพ่อก็เหมือนวันธรรมดาวันนึง เหมือนกับวันแม่ที่ก็รู้สึกเฉยๆ
วันที่เราถือว่าสำคัญของพ่อกะแม่ น่าจะเป็นวันเกิด ที่ต้องโทรไปหาทุกปีไม่ขาด
แหะๆ แต่ยกเว้นไปปีนึง ไม่ได้ดูวันดูคืน จนผ่านไปสองสามวันเพิ่งเห็นว่าเลยวันเกิดแม่
ขอโต้ดก้าบบบบ แม่แอบน้อยใจป่ะไม่รู้ แต่ปกติ ก็โทรคุยกันทุกอาทิตย์อยู่แล้วอ่ะนะ

ปีนี้เป็นปีที่ในหลวงพระชนมายุครบ 80 พรรษา ท่านดูสุขภาพไม่ค่อยดีเหมือนเดิมแล้ว
เราเชื่อว่าคนไทยทุกคนก็คงหวังอยากให้ท่านแข็งแรง มีพระชนมายุยืนไปนานๆ

ส่วนงานเรียนหลังจากได้รายการที่ต้องแก้มาแล้วก็มึนตึ้บๆ ไม่รู้จะแก้ยังไงดี
ผ่านไปเกือบอาทิตย์แล้วก็ยังไม่ได้แก้ไรเลย เฮ้อ จะเสร็จทันไหมเนี่ยตู เซ็งเจงๆ